ในบทความก่อนหน้านี้
ผมได้อธิบายพุทธพจน์ “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา”
ว่า มาจากวักลิสูตร จากความหมายของวักกลิสูตรดังกล่าว
สิ่งที่ต้องควรให้คำอธิบายอย่างมากก็คือ 5 ประเด็นเหล่านี้
- ตาของพระวักกลิที่สามารถจะเห็น “ธรรม” และ เห็น “กายของพระพุทธเจ้า” ด้วยเป็นอย่างไร
- “ธรรม” ในพระสูตรนี้คืออะไร และมีลักษณะเป็นอย่างไร
- กายของพระพุทธเจ้า ที่พระพุทธองค์ใช้คำสรรพนาม “เรา” เป็นกายอะไร รูปร่างหรือลักษณะเป็นอย่างไร
- คำว่า “เรา” นั้น ต้นฉบับภาษาบาลีหมายถึง เอกพจน์ หรือพหูพจน์?
- “ธรรม” กับ “กายของพระพุทธเจ้า” อยู่ใกล้หรือไกลกันอย่างไร เพราะ บุคคลจะเห็นของสองสิ่งพร้อมๆ กันนั้น ของดังกล่าวต้องอยู่ในทิศทางเดียวกัน พูดง่ายๆ ว่า ถ้ามีของสองสิ่ง ของสิ่งหนึ่งอยู่ข้างหน้า ของอีกสิ่งอยู่ข้างหลัง หรืออยู่ทางด้านซ้ายมือ หรือขวามือก็ย่อมที่มองเห็นพร้อมกันไม่ได้
ผมได้อธิบายข้อที่
1 กับข้อที่ 2 ไปแล้ว ในบทความนี้ กำลังอธิบายในหัวข้อที่ 3 ที่ว่า “3) กายของพระพุทธเจ้า ที่พระพุทธองค์ใช้คำสรรพนาม “เรา” เป็นกายอะไร รูปร่างหรือลักษณะเป็นอย่างไร”
ก่อนอื่นผู้เขียนขอแก้ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการปฏิบัติธรรมของสายวิชาธรรมกายก่อน
จากการที่มีนักวิชาการจำนวนหนึ่งกล่าวว่า
การปฏิบัติธรรมของสายวิชชาธรรมกายเป็นเพียงสมถะกรรมฐานเท่านั้น
เป็นการเข้าใจผิด เพราะ ไม่ได้อ่านหนังสือเกี่ยวกับวิชาธรรมกายอย่างให้ครบถ้วน
สายวิชาธรรมกายนั้น
เป็นวิชาที่รวมทั้งสมถะกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานเข้าไปในตัวอยู่แล้ว
ถ้าได้อ่านหนังสือที่เกี่ยวข้องกับวิชาธรรมกายอย่างครบถ้วนแล้ว ถึงจะ
"รู้" และ "เข้าใจ"
ที่ต้องกล่าวว่า
“สายวิชาธรรมกายเป็นวิชาที่รวมทั้งสมถะกรรมฐานและวิปัสสนากรรมฐานเข้าไปในตัวอยู่แล้ว”
ก็เพราะว่า สายวิชาธรรมกายมีวิชาที่สูงกว่าสมถะกรรมฐานกับวิปัสสนากรรมฐาน
สมถะกรรมฐานกับวิปัสสนากรรมฐานเป็นพื้นฐานของการบรรลุพระอรหันต์ ไม่ใช่ว่า “วิปัสสนากรรมฐาน” จะทำให้บรรลุพระอรหันต์ได้
หลักฐานสนับสนุนอีกประการหนึ่งก็คือ
คำว่า "วิปัสสนา"
นั้นแปลตามตัวอักษรว่า "เห็นแจ้ง"
กล่าวคือ วิ แปลว่า แจ้ง ปัสสนา
แปลว่า เห็น
ดังนั้น
สายปฏิบัติธรรมใดๆ ก็ตาม ที่ไม่อธิบายว่า “เห็น”
อย่างไร ก็ย่อมจะไม่ใช่วิปัสสนา
หรือยังไม่อธิบายไม่ถูกต้อง
หลักฐานที่สำคัญอีกประการหนึ่ง
ซึ่งเป็นหลักฐานสำคัญที่สุด คือ มหาสติปัฏฐานสูตร ในพระสุตตันตปิฎก เล่ม 2
ทีฆนิกาย มหาวรรค ดังนี้
ดูกรภิกษุทั้งหลาย หนทางนี้เป็นที่ไปอันเอก
เพื่อความบริสุทธิ์ของเหล่าสัตว์ เพื่อล่วงความโศกและปริเทวะ
เพื่อความดับสูญแห่งทุกข์และโทมนัส เพื่อบรรลุธรรมที่ถูกต้อง
เพื่อทำให้แจ้งซึ่งพระนิพพาน หนทางนี้ คือ สติปัฏฐาน 4 ประการ สติปัฏฐาน 4 ประการ
เป็นไฉน
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ภิกษุในธรรมวินัยนี้
- พิจารณา “เห็น” กายในกายอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะมีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ 1
- พิจารณา “เห็น” เวทนาในเวทนาอยู่มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ 1
- พิจารณา “เห็น” จิตในจิตอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ 1
- พิจารณา “เห็น” ธรรมในธรรมอยู่ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌาและโทมนัสในโลกเสียได้ 1ฯ
การเห็นกายในกาย
เห็นเวทนาในเวทนา เห็นจิตในจิต เห็นธรรมในธรรมนั้น แสดงว่า กายต้องมีการซ้อนกันอยู่ เวทนาก็ต้องมีการซ้อนกันอยู่
จิตก็ต้องมีการซ้อนกันอยู่ และธรรมก็ต้องมีการซ้อนกันอยู่ ทั้งกาย เวทนา จิต ธรรม
ต้อง “เห็น” ได้ และ “เห็น” ด้วยว่า ซ้อนกันอย่างไร
มหาสติปัฎฐาน
4 นั้น ถ้าอธิบายตามหลักภาษาศาสตร์แล้ว
สายปฏิบัติธรรมที่อธิบายได้ชัดเจนที่สุดก็มีสายวิชาธรรมกายสายเดียวเท่านั้น
โปรดไปหาอ่านหนังสือที่เขียนโดยคุณลุงการุณย์
บุญมานุชให้ครบทุกเล่ม จะเข้าใจในประเด็นดังกล่าวอย่างชัดเจนแจ่มแจ้งอย่างแน่นอน
มีหนังสือบางเล่มอยู่ในบล็อกด้านล่างนี้
- อภินิหารของหลวงพ่อวัดปากน้ำ http://luangphosotmiracle.blogspot.com
- ผู้ใดเห็นดวงธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต http://seethammasphere.blogspot.com
- แนวเดินวิชาหลักสูตรคู่มือสมภาร http://practiceabbothandbook.blogspot.com
- แนวเดินวิชามรรคผลพิสดาร http://practiceMakphonphitsadan.blogspot.com
- แนวเดินวิชามรรคผลพิสดาร๒ http://practiceMakphonphitsadan2.blogspot.com
- ทางรอดของมนุษย์มีทางเดียวเท่านั้น http://onlysurviveway.blogspot.com
การปฏิบัติธรรมของสายวิชาธรรมกายนั้น เมื่อ เห็น จำ คิด รู้
หรือใจไปหยุดที่ศูนย์กลางกายฐานที่ 7 อย่างถูกส่วนแล้ว ก็จะ “เห็น”
ดวงธรรม หรือดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน หรือดวงปฐมมรรค
เมื่อเห็นดวงธรรมแล้ว
ผู้ปฏิบัติธรรมต้อง "เดินวิชา" ไปที่ศูนย์กลางของดวงธรรมต่อไปก็จะพบกายอีก
17 กาย รวมทั้งกายเนื้อด้วยก็เป็น 18 กาย
ดังนี้
1)
กายมนุษย์หยาบ/กายเนื้อ
|
2)
กายมนุษย์ละเอียด
|
3)
กายทิพย์หยาบ
|
4)
กายทิพย์ละเอียด
|
5)
กายพรหมหยาบ
|
6)
กายพรหมละเอียด
|
7)
กายอรูปพรหมหยาบ
|
8)
กายอรูปพรหมละเอียด
|
9)
กายธรรมโคตรภูหยาบ
|
10)
กายธรรมโคตรภูละเอียด
|
11)
กายธรรมพระโสดาหยาบ
|
12)
กายธรรมพระโสดาภูละเอียด
|
13)
กายธรรมพระสกิทาคามีหยาบ
|
14)
กายธรรมพระสกิทาคามีละเอียด
|
15)
กายธรรมพระอนาคามีหยาบ
|
16)
กายธรรมพระอนาคามีละเอียด
|
17)
กายธรรมพระอรหัตหยาบ
|
18)
กายธรรมพระอรหัตละเอียด
|
ขั้นตอนตั้งแต่กายมนุษย์หยาบ-กายอรูปพรหมละเอียดเป็นขั้นของสมถะ
ส่วนตั้งแต่กายธรรมพระโสดาหยาบ-กายธรรมพระอรหัตละเอียดเป็นขั้นของวิปัสสนา
นอกจากดวงธรรม/ดวงธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน/ดวงปฐมมรรคแล้ว
ธรรมอื่นๆ เช่น อริยสัจ 4 หรือปฏิจสมุทปบาทจะมีลักษณะเป็นดวงทั้งหมด
ซึ่งผู้อ่านจะสามารถหาอ่านได้จากหนังสือของหลวงพ่อวัดปากน้ำที่ขยายความโดยคุณลุงการุณย์
บุญมานุชได้เช่นเดียวกัน
จะเห็นได้ว่า
คำสอนของสายวิชชาธรรมกายถูกต้องตรงกับพระไตรปิฎกที่สุด
พระนอกจากจากจะมีข้อความที่ว่า "ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา" แล้ว
ก็ยังมีข้อความที่ว่า "
อนึ่งพระผู้มีพระภาคได้ตรัสพระพุทธพจน์นี้ไว้ว่า ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท
ผู้นั้นชื่อว่าเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรมผู้นั้นชื่อว่าเห็นปฏิจจสมุปบาท ดังนี้.
ก็อุปาทานขันธ์ 5 เหล่านี้ใด อุปาทานขันธ์ 5 เหล่านี้ชื่อว่า
ปฏิจจสมุปปันนธรรมแล. (พระไตรปิฎกเล่มที่ 12 มัชฌิมนิกาย มูลปัณณาสก์)
ซึ่งก็หมายความว่า
ผู้ใดเห็นธรรมแล้ว ก็ต้องสามารถเห็นพระพุทธเจ้าได้
และต้องสามารถเห็นปฏิจจสมุปบาทได้
ซึ่งสายวิชาธรรมกายมีคำอธิบายไว้อย่างครบถ้วนถูกต้อง
ขออธิบายเพิ่มเติมอีกว่า
พระไตรปิฎกเล่มที่ 25 พระสุตตันตปิฎกเล่มที่ 17
ขุททกนิกายขุททกปาฐะ-ธรรมบท-อุทาน-อิติวุตตกะ-สุตตนิบาต หรือมงคลสูตรข้อ 38
ได้กล่าวว่า "อริยสจฺจานทสฺสนํ"
ซึ่งแปลว่าเห็นอริยสัจ
ซึ่งก็หมายถึงว่า
อริยสัจนั้น ต้องเห็นได้
สำหรับอริยสัจจะเห็นได้อย่างไร ก็มีคำอธิบายไว้ในหนังสือที่เกี่ยวกับวิชาธรรมกายเช่นเดียวกัน….
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น