บริจาค

เห็นว่า..บล็อกนี้ดี มีประโยชน์... โปรดสนับสนุนผู้ทำบล็อกได้ที่ พร้อมเพย์ 083-4616989
หรือบัญชี 002-1-70462-8 กสิกรไทย สาขาบางลำภู

“เห็นเรา” เห็นอย่างไร


ในบทความก่อนหน้านี้ ผมได้อธิบายพุทธพจน์ “ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเรา” ว่า มาจากวักลิสูตร  จากความหมายของวักกลิสูตรดังกล่าว สิ่งที่ต้องควรให้คำอธิบายอย่างมากก็คือ 5 ประเด็นเหล่านี้

  1. ตาของพระวักกลิที่สามารถจะเห็น ธรรมและ เห็น กายของพระพุทธเจ้าด้วยเป็นอย่างไร
  2. ธรรมในพระสูตรนี้คืออะไร และมีลักษณะเป็นอย่างไร
  3. กายของพระพุทธเจ้า ที่พระพุทธองค์ใช้คำสรรพนาม เราเป็นกายอะไร รูปร่างหรือลักษณะเป็นอย่างไร
  4. คำว่า เรานั้น ต้นฉบับภาษาบาลีหมายถึง เอกพจน์ หรือพหูพจน์?
  5. ธรรมกับ กายของพระพุทธเจ้าอยู่ใกล้หรือไกลกันอย่างไร เพราะ บุคคลจะเห็นของสองสิ่งพร้อมๆ กันนั้น ของดังกล่าวต้องอยู่ในทิศทางเดียวกัน พูดง่ายๆ ว่า ถ้ามีของสองสิ่ง ของสิ่งหนึ่งอยู่ข้างหน้า ของอีกสิ่งอยู่ข้างหลัง หรืออยู่ทางด้านซ้ายมือ หรือขวามือก็ย่อมที่มองเห็นพร้อมกันไม่ได้

ผมได้อธิบายข้อที่ 1 กับข้อที่ 2 ไปแล้ว ในบทความนี้ จะอธิบายข้อที่ 3 ที่ว่า “3) กายของพระพุทธเจ้า ที่พระพุทธองค์ใช้คำสรรพนาม เราเป็นกายอะไร รูปร่างหรือลักษณะเป็นอย่างไร

เมื่อกล่าวเฉพาะ “ตา”  เห็นได้ว่า พระพุทธองค์ตรัสว่า ไม่ได้มีเฉพาะตาเนื้อ/มังสจักษุเท่านั้น แต่มีถึง 5 ประเภท

ในเรื่องกายก็เช่นเดียวกัน พระองค์ได้กล่าวถึงกายอื่นๆ ไว้ในอัคคัญญสูตร ซึ่งอยู่ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 11 พระสุตตันตปิฎก  ทีฆนิกาย ปาฏิกวรรค ดังนี้

ดูกรวาเสฏฐะและภารทวาชะ  ก็ผู้ใดแล มีศรัทธาตั้งมั่นเกิดขึ้นแล้ว แต่รากแก้วคืออริยมรรค

ประดิษฐานมั่นคง อันสมณพราหมณ์ เทวดา มาร พรหม หรือผู้ใดผู้หนึ่งในโลกไม่พรากไปได้ ควรเรียกผู้นั้นว่า เป็นบุตรเกิดแต่พระอุระ เกิดแต่พระโอฐของพระผู้มีพระภาค

เป็นผู้เกิดแต่พระธรรม เป็นผู้ที่พระธรรมเนรมิตขึ้น เป็นผู้รับมรดกพระธรรม 

ข้อนั้นเพราะเหตุไร  เพราะคำว่า ธรรมกายก็ดี ว่าพรหมกายก็ดี ว่าธรรมภูตก็ดี ว่าพรหมภูตก็ดี เป็นชื่อของตถาคตฯ

จากพระสูตรดังกล่าว คำว่า ธรรมกาย, พรหมกาย, ธรรมภูต หรือพรหมภูต อันเป็นชื่อของพระพุทธเจ้า 

ดังนั้น คำเหล่านั้นจึงนำสรรพนามว่า เรา ไปแทนได้  ข้อความในพระสูตรที่ยกไปข้างต้นว่า

(1) ดูกรวักกลิ  ผู้ใดแล เห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่า ย่อมเห็นพรหมกาย  ผู้ใดเห็นพรหมกาย ผู้นั้นชื่อว่า ย่อมเห็นธรรม. วักกลิเป็นความจริง บุคคลเห็นธรรม ก็ย่อมเห็นพรหมกาย บุคคลเห็นพรหมกายก็ย่อมเห็นธรรม.

(2) ดูกรวักกลิ  ผู้ใดแล เห็นธรรม ผู้นั้นชื่อว่า ย่อมเห็นธรรมกาย ผู้ใดเห็นธรรมกาย ผู้นั้นชื่อว่า ย่อมเห็นธรรม. วักกลิเป็นความจริง บุคคลเห็นธรรม ก็ย่อมเห็นธรรมกาย บุคคลเห็นธรรมกายก็ย่อมเห็นธรรม..

จากข้อความดังกล่าว เห็นได้ว่า ธรรมกาย พรหมกาย คือชื่อของพระพุทธเจ้า 

ดังนั้น เมื่อมาถึงในส่วนนี้  ข้อความที่ว่า ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นเราก็หมายถึงว่า การที่พุทธศาสนิกชน ปฏิบัติธรรม จนเกิดทิพยจักษุหรือปัญญาจักษุก็เกิดขึ้น และเห็นดวงธรรมที่สว่างใส และสามารถเห็นธรรมกาย พรหมกายได้อีกด้วย

จากข้อความที่ยกมาข้างต้นนั้น เมื่อพิจารณาดูสายปฏิบัติธรรมของพุทธเถรวาทในประเทศไทย จำนวน 4 สายใหญ่ๆ คือ สายพุทโธ สายพอง-ยุบ สายนะมะพะทะ และสายวิชชาธรรมกาย จะพบว่ามี 2 สายเท่านั้นที่รับรองการ เห็น ในการปฏิบัติธรรมคือ สายนะมะพะทะ กับสายวิชชาธรรมกาย

สำหรับสายพุทโธกับสายพอง-ยุบ มีแนวคิดที่ว่า การเห็นในสมาธิเป็นนิมิตลวง จึงปฏิเสธการเห็นในการปฏิบัติธรรม[1]

เมื่อพิจารณาสายปฏิบัติธรรมระหว่างสายนะมะพะทะกับสายวิชชาธรรมกายจะพบว่า สายวิชชาธรรมกายมีคำอธิบายที่ตรงกับข้อความข้างต้นมากกว่า

ผู้เขียนจึงจะอธิบายการปฏิบัติธรรมของสายวิชชาธรรมกายต่อไป

------------------------------------
อ้างอิง
[1]  ขออธิบายเพิ่มเติมว่า สายพุทโธกับสายพอง-ยุบไม่ได้ปฏิเสธการเห็น (seeing) ในการปฏิบัติธรรม คือ ยอมรับว่า ในการปฏิบัติธรรมมีการเห็น (seeing)  แต่เชื่อว่า สิ่งที่เห็นในขณะปฏิบัติธรรมนั้น เป็นนิมิตลวงทั้งหมด

อันที่จริงก็น่าเห็นใจกลุ่มที่ปฏิบัติธรรมตามสายพุทโธกับสายยุบหนอพองหนอ เพราะ ถ้าอธิบายกันอย่างเป็นกลางๆ ไม่เข้าข้างฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดแล้ว  สายปฏิบัติธรรมทั้ง 2 สายดังกล่าวนั้น เป็นเครื่องมือในการบรรลุธรรมที่มีคุณภาพต่ำมาก  โดยเฉพาะเมื่อเปรียบเทียบกันการปฏิบัติธรรมตามสายวิชาธรรมกาย

ผู้เขียนเองชอบที่จะตรวจสอบว่า พระเกจิอาจารย์ทั้งหลาย เมื่อตายไปแล้ว ไปอยู่ที่ไหนกันบ้าง ตรงนี้ ขออธิบายอย่างเป็นวิชาการว่า วิชาธรรมกายสอนอย่างนั้น คือ ผู้ปฏิบัติธรรมสามารถไปนิพพานได้ ไปเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้าได้  ดังนั้น การไปสวรรค์ นรก จึงต้องกระทำได้เช่นเดียวกัน

ตรงนี้อย่าเอาความรู้เดิมที่ว่า เหลวไหลหรือ บ้าไปแล้วเพราะ เป็นไปไม่ได้ตามหลักวิทยาศาสตร์มาวิพากษ์วิจารณ์ เพราะ คนวิพากษ์วิจารณ์ดังกล่าว จะกลับกลายว่า วิพากษ์ตัวเองเข้าให้

หลักวิชาการปัจจุบัน ห้ามเด็ดขาดในการนำเอาองค์ความรู้ของสาขาใดสาขาหนึ่ง ไปจับผิดองค์ความรู้อีกสาขาหนึ่ง อย่างเช่นที่เคยเป็นมาในอดีต คือ เอาวิทยาศาสตร์เก่าแบบนิวตันที่ตกยุคไปแล้ว ไปจับผิดสาขาวิชาอื่น  อันไหนวิทยาศาสตร์ตกยุครับไม่ได้  สิ่งนั้นไม่จริงไปหมด

ทฤษฎีของฟิสิกส์ใหม่ที่ยอมรับกันว่า เป็นไปได้ในปัจจุบัน เชื่อยากยิ่งกว่า ความรู้ของวิชาธรรมกายที่ผู้เขียนได้เขียนไปแล้วเสียอีก

ยกตัวอย่างเช่น
1) เชื่อว่า ถ้ามนุษย์สร้างยานพาหนะที่มีความเร็วใกล้แสงได้ มนุษย์เราสามารถจะกลับไปในอดีตได้  จึงเกิดคำพูดที่ว่า ถ้าเราบังเอิญไปฆ่าปู่เราตาย เราจะได้เกิดหรือไม่” 

ตอนนี้ทฤษฎียิ่งแตกยอดไปยิ่งกว่านั้น  เกิดหลักการที่ว่า ถ้าเราเกิดมาแล้ว แม่เลี้ยงดูไม่ดี ได้แต่ทุบตีทรมานเรา  เราสามารถกลับไปในอดีต และฆ่าแม่เสียก่อนเราจะเกิดก็ได้

นักวิทยาศาสตร์นี่ มันสมองมีแต่เรื่องฆ่า  เป็นเรื่องอนันตริยกรรมของเราเสียด้วย

2) เชื่อว่า เอกภพ (Universe) นี้ ขยายตัวมาจากบิ๊กแบ็ง (Big bang) ตอนที่เกิดบิ๊กแบ็งนั้น  เอกภพ (Universe) มีขนาดเล็กกว่าฝุ่น คือ เล็กจนมองไม่เห็น

ทั้ง 2 เรื่องดังกล่าวนั้น ผู้เขียนเห็นว่า เรื่องนรก-สวรรค์ของเรายังน่าเชื่อมากกว่า

จากการตรวจสอบของผู้ที่ได้วิชชาธรรมกายชั้นสูง พบว่า พระมหาสีสะยาดอ ต้นสายวิชาพอง-ยุบนั้น มิได้ไปสวรรค์ 

ผู้เขียนก็ยังเคยเผยแพร่ไปนั้นเว็บต่างๆ  ปรากฏว่า ศิษยานุสิทธิ์ของสายพอง-ยุบได้แต่แช่งให้ผู้เขียนตกนรกท่าเดียว  เพราะ องค์ความรู้ของสายพอง-ยุบไม่อนุญาตให้ตรวจสอบได้เลยว่า ข้อความของผู้เขียนถูกต้องหรือไม่

เพราะ ปฏิเสธการเห็นไปเสียหมด แล้วจะไปตรวจสอบได้อย่างไร  นี่จึงเป็นที่มาของข้อความที่ว่า สายปฏิบัติธรรมแบบพุทโธกับสายพอง-ยุบเป็นเครื่องมือในการบรรลุธรรมที่มีคุณภาพต่ำมาก..



ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น